คุณสมบัติที่ดีของการเป็นลูกน้องที่น่ารัก 10 ประการ (ตอนที่ 1)

โดย อ.สุภาพร จันทร์เพชร 

        ในเมืองไทยยังไม่ค่อยมีหลักสูตรอบรมการบริหารลูกน้องอย่างไรให้สู่ความสำเร็จขององค์กรเพราะส่วนมากจะเน้นในเรื่องการพัฒนาผู้นำมากกว่า  อาจจะเป็นเพราะว่าในองค์กรมีลูกน้องค่อนข้างเยอะในแต่ละแผนกซึ่งจะทำให้องค์ต้องเสียเงินค่าอบรมเยอะ  ทำให้องค์กรมุ่งไปที่การพัฒนาผู้นำมากกว่า  อย่างไรก็ตามองค์กรสร้างลูกน้องที่น่ารักให้ดีได้ ดังคุณสมบัติที่ดีของการเป็นลูกน้องที่น่ารัก 10 ประการ  มีรายละเอียดดังนี้

1.มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการทำงาน

                 ก่อนอื่นเราต้องมาถามตัวเองก่อนว่าทุกวันนี้เราทำงานเพื่ออะไร  เราทำงานเพื่อใคร  และเป้าหมายการทำงานของเราคืออะไร  หากทุกคนมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วก็จะทำให้เราทำงานได้ดี  ทำงานให้ถูกใจเจ้านายได้เช่นเดียวกัน  ถ้าทุกคนในองค์กรทำงานที่มีเป้าหมายเดียวกัน  เดินไปในทิศทางเดียวกันก็จะทำให้องค์กรสำเร็จได้ง่าย  และเร็วขึ้น

2.  มีทักษะในการสื่อสาร

                 คุณควรมีการสื่อสารเยอะ ๆ กับหัวหน้างาน  ไม่ต้องคิดเกรงใจหัวหน้างานว่างานเยอะเดี๋ยวหัวหน้าไม่มีเวลาคุยกับคุณก็เลยไม่ไปปรึกษา  ไม่คุย  รอก่อน  และบอกตัวเองว่าค่อยคุยทีเดียว  การทำงานที่จะสำเร็จนั้นควรมีการสื่อสารที่ดี  มีคำถามหรือข้อสงสัยอะไรให้รีบปรึกษาหัวหน้างานทันทีเพราะคุณจะได้ทำงานชิ้นนั้นได้ดีและถูกใจเจ้านาย  และเวลามีประชุมถ้าหัวหน้าถามว่าท่านใดมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม  หากคุณมีไอเดียหรือข้อสงสัยที่ต้องการเสนอแนะความคิดเห็นนั้นก็ให้พูดออกมา  เพราะถือว่าคุณได้แสดงความคิดเห็นไปแล้ว  แต่หัวหน้างานจะเห็นด้วยหรือไม่นั้นไม่จำเป็นว่าทุกคนในทีมหรือหัวหน้างานจะเห็นด้วยกับความคิดเห็นที่คุณได้เสนอไปแล้ว  หากคุณไม่พูด  ไม่สื่อสาร  ไม่แสดงความคิดเห็นออกมา  เวลาออกจากห้องประชุมไปคุณก็จะไปพูดว่าเรื่องนี้  ต้องทำแบบนี้  เรื่องโน้นควรเป็นแบบนี้  สิ่งนี้ไม่ควรทำอย่างยิ่งเพราะจะทำให้คุณทำงานไม่สำเร็จบรรลุเป้าหมายและไม่ถูกใจเจ้านายเป็นแน่  บางเวลาการทำงานอาจไม่ถูกใจแต่ให้ถูกต้องตามกฎระเบียบของบริษัทที่กำหนดไว้สิ่งนี้จะทำให้ทีมและองค์กรทำงานได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี  และถูกใจหัวหน้างานด้วยเงื่อนไขการตัดสินใจในการทำงานภายใต้กรอบและนโยบายของบริษัทที่กำหนด

3. ทำงานเกินหน้าที่

                 คนที่จะประสบผลสำเร็จในการทำงานจะต้องทำงานเกินหน้าที่ไม่หวังผลตอบแทนก่อนว่าทำแล้วจะได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน  หากคุณคิดเช่นนี้คุณจะไม่ได้พัฒนาตัวเองและไม่ประสบผลสำเร็จในการทำงานและไม่ได้ใจหัวหน้างานเช่นเดียวกัน คนไหนที่ทำงานเกินหน้าที่  ทำด้วยใจรัก  ทำด้วยความต้องการพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ  และบอกตัวเองเสมอว่ามันคือโอกาสที่จะแสดงฝีมือ  ถ้าคนไหนมีความคิดเช่นนี้คือคนที่จะประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างแน่นอน  ผลตอบแทนหรือรางวัลก็จะตามมาทีหลัง

4.  มีทัศนคติที่ดี

                 คุณควรมีทัศนคติที่ดีต่อหัวหน้างาน  ให้ความเคารพรักและศรัทธาในหัวหน้างาน  ถ้าหากคุณยังคิดจะทำงานร่วมกับหัวหน้างานของคุณแล้วคุณต้องปรับตัวเองให้เข้ากับหัวหน้างานของคุณให้ได้  ไม่ใช่มีความคิดว่าเค้าเป็นหัวหน้างานของคุณเค้าต้องปรับตัวให้เค้ากับลูกน้องทุกคนก่อนสิ่งนี้คุณคิดผิด การเปลี่ยนคนอื่นยากกว่าการเปลี่ยนตัวเอง  ซึ่งบุคลิกลักษณะของหัวหน้างานนั้นมีอยู่ 4 แบบ  คือ

1.         หัวหน้างานที่ใจร้อน  ปากร้าย  วิธีแก้ไขคือ  คุณก็ใช้วิธีรับฟัง  นิ่ง  ไม่พูด  ปล่อยให้หัวหน้าพูดจนจบก่อนแล้วคุณค่อยอธิบาย  อย่าเพิ่งพูดในขณะที่หัวหน้าคุณกำลังโกรธ  หรือกำลังดุใครอยู่ 

2.         หัวหน้างานที่พูดมาก  พูดเยอะ  คุยสนุก  หัวหน้างานที่มีบุคลิกลักษะแบบนี้  ไม่ยากที่จะทำให้คุณเข้าไปปรึกษางานต่าง ๆ ได้  เพราะเค้าเป็นคนคุยสนุก  แต่หากไม่พอใจใครอาจจะพูดมาก  ขี้บ่น  วิธีแก้ไขก็ใช้วิธีรับฟังและเงียบเหมือนกับวิธีที่ 1 ได้เช่นเดียวกัน

3.         หัวหน้างานที่ทำอะไรก็ช้า  มีกังวล  คิดเยอะ  วิธีแก้ไขคือ  คุณจะต้องคอยติดตามงานหรือคอยสอบถามว่างานที่คนส่งไปนั้นต้องให้คุณแก้อะไรเพิ่มเติมไหม  คุณจะได้รีบทำให้ทันตามเวลาที่กำหนดเป็นการกระตุ้นหัวหน้างานได้ดีเช่นเดียวกัน  จะได้ไม่ต้องแก้ไขงานในวินาทีสุดท้าย

4.         หัวหน้างานที่ละเอียดสุดขีด  วิธีแก้ไขคือ  คุณเองก็ต้องเพิ่มความละเอียดรอบคอบให้มากกว่าเดิม  ควรตรวจงานก่อนส่งหัวหน้างานทุกครั้ง สิ่งนี้ก็จะทำให้คุณได้ใจหัวหน้าเช่นเดียวกัน

5. ส่งงานก่อนเวลา

                 คุณควรมีการสร้างบารมีกับหัวหน้างานเพราะการส่งงานก่อนเวลาที่กำหนดคุณจะได้ใจหัวหน้างาน  เวลาทำผิดอะไรหัวหน้าก็รู้สึกเกรงใจไม่กล้าดุเพราะจะคิดถึงเวลาให้งานกับคุณทำแล้วคุณทำงานส่งก่อนเวลาเสมอ  ซึ่งจะบ่งบอกว่าคุณมีความตั้งใจและใส่ใจในการทำงานชิ้นนั้น ๆ นั่นเอง  หรือเราเรียกว่าคุณมีบารมีกับหัวหน้างานได้เช่นเดียวกัน

        5 ข้อแรกผ่านไปแล้ว เดี๋ยวจะยาวไปค่อยไปต่อกันตอนที่ 2 นะคะ